简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อและการเกิด Stagflation ในต่างประเทศดูจะถูกพูดถึงกันบ่อยขึ้นในช่วงหลัง เรื่องของแรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอาจจะยังไม่ชัดเจนมากนักในบ้านเรา
แรงกดดันเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา และน่าจะทรงตัวต่อเนื่องไปอีกระยะเวลาหนึ่งนั้น อย่างน้อยก็ไปจนถึงปีหน้า เกิดจากหลายๆ ปัจจัย อย่างแรกคือเรื่องของราคาพลังงานซึ่งส่งผลต่อต้นทุนการผลิตโดยตรง เช่น ในยุโรปราคาของก๊าซธรรมชาติปรับตัวขึ้นกว่า 5 เท่าโดยประมาณในปีนี้ หรือล่าสุดดัชนีราคาผู้ผลิตของจีนที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 10 ในเดือน ก.ย. สูงที่สุดในรอบกว่า 25 ปี อันเป็นผลมาจากราคาถ่านหินและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับพลังงานที่เพิ่มขึ้น
ปัจจัยที่สองคือเรื่องของการขาดแคลนชิปเซ็ตอันเป็นผลมาจากสงครามการค้า ปัญหาภัยภิบัติ และมาตรการจากการแพร่ระบาด ทำให้หลายๆ อุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้รับผลกระทบและมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น หรือทำให้ผลิตสินค้าไม่ได้ตามจำนวนก่อให้เกิดแรงกดดันด้านราคา
ปัจจัยที่สามคือเรื่องของราคาอาหารที่เพิ่มขึ้น จากราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น โดยข้อมูลจากสหประชาชาติล่าสุดพบว่าราคาอาหารโดยเฉลี่ยทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปีก่อน
และสุดท้ายคือเรื่องของราคาค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น เช่น ในสหรัฐฯ และอังกฤษ จากอุปสงค์ของผู้บริโภคหลังเปิดเมือง ทั้งหมดนี้ทำให้คาดว่าปัญหาแรงกดดันเงินเฟ้อหรือการขาดแคลนพลังงานน่าจะไม่ใช่ปัญหาที่จะลดลงในเร็ววัน และต้องใช้เวลาซักพักนึงในการลดแรงกดดันดังกล่าว
ในส่วนของการลงทุนในภาวะแบบนี้ จากข้อมูลในอดีต สินทรัพย์ที่มักจะทำได้ดีในช่วงที่เงินเฟ้อสูงนอกเหนือไปจากสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรง และทองคำในฐานะของสินทรัพย์ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Hedged Asset) แล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม Real Asset เช่น อสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวดีควบคู่ไปด้วย
อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่เราจะพูดถึงเงินเฟ้อที่เกิดจากอุปสงค์ (Demand Pull) เป็นหลัก ในขณะที่รอบนี้อาจจะมีส่วนผสมของทั้งอุปสงค์และอุปทาน ดังนั้นหากเราจะคิดลงทุนหรือปรับพอร์ตในสินทรัพย์กลุ่มนี้ เราจำเป็นจะต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นด้วย เช่น อสังหาริมทรัพย์ที่มีลักษณะของสัญญาเช่าสั้นๆ หรือที่สามารถปรับขึ้นตามเงินเฟ้อได้ กลุ่มที่สามารถส่งผ่านราคาไปยังผู้เช่าหรือผู้บริโภคได้ รวมถึงกลุ่มที่มีอุปทานจำกัด และอาศัยระยะเวลาหนึ่งก่อนจะเพิ่มอุปทานได้ และอาจพิจารณากลุ่มที่ตอบโจทย์เรื่องของการเติบโตของกระแสการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น e-Commerce หรือ เรื่องของพลังงานทางเลือกและ ESG ควบคู่ไปด้วย
ในขณะที่หุ้นซึ่งเป็นที่พูดถึงกันอยู่บ่อยๆ ว่าหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) จะได้รับผลกระทบเยอะกว่ากลุ่มมูลค่า (Value Stock) ในช่วงที่เงินเฟ้อสูง ข้อมูลในอดีตก็แสดงให้เห็นในลักษณะดังกล่าวด้วย แต่ทั้งนี้ต้องดูแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยควบคู่กันไปด้วย แน่นอนว่าในท้ายที่สุดหากเงินเฟ้อกดดันดอกเบี้ย ก็อาจจะทำให้หุ้นเติบโตถูกเทขายออกมา ซึ่งต้องยอมรับว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานักลงทุนส่วนใหญ่ให้มูลค่ากับหุ้นในกลุ่มนี้ค่อนข้างสูง ทำให้ความเสี่ยงในประเด็นนี้ยังมีอยู่ ในส่วนของอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะทำได้ดีในช่วงเงินเฟ้อสูงก็หนีไม่พ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์
รวมถึงกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต (Consumer Staples) ต่างๆ รวมถึงกลุ่มธุรกิจ Healthcare ในบางส่วน ในขณะที่กลุ่มที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับเงินเฟ้อก็จะเป็นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) และกลุ่มเทคโนโลยีต่างๆ (Information Technology) ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนจากอดีตที่แรงกดดันเงินเฟ้อมีส่วนต่างไปจากปัจจุบัน ดังนั้นอาจจำเป็นพิจารณาถึงหมวดอุตสาหกรรมย่อย (Sub-Sector) เพิ่มเติม หากต้องการปรับน้ำหนักการลงทุนในส่วนนี้เพิ่มเติม
อีกจุดหนึ่งที่อาจจะต้องระมัดระวังคือเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างพันธบัตรและหุ้นในช่วงของเงินเฟ้อสูงที่อาจไม่ส่งผลดีต่อการกระจายความเสี่ยงนัก โดยจากข้อมูลในอดีตในช่วงที่เงินเฟ้อสูงกว่าค่าเฉลี่ย พันธบัตรและหุ้นโดยเฉลี่ยจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้นจากเหตุผลหลายประการ เช่น หากเงินเฟ้อสูง กดดันดอกเบี้ยให้สูงจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ก็จะส่งผลเสียต่อทั้งหุ้นและพันธบัตรในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้จากเดิมที่เคลื่อนไหวสวนทางกัน กลับมาเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน และส่งผลให้พอร์ตฟอลิโอของเรามีความเสี่ยงมากขึ้น แม้เราจะไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม .. แม้ในปัจจุบันความเสี่ยงดังกล่าวอาจจะมีไม่มากนัก แต่ก็นับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เราจำเป็นจะต้องพิจาณาและติดตามดูกันต่อไปครับ
นักลงทุนหลายๆ ท่านที่มีการลงทุนในต่างประเทศผ่านกองทุนต่างๆ อาจจะใช้จังหวะเวลาแบบนี้ปรับพอร์ตฟอลิโอบางส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะที่เปลี่ยนแปลงไป โดยประเด็นเรื่องของเงินเฟ้อจากปัญหาคอขวดในกระบวนการผลิตและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นน่าจะมีส่วนสำคัญต่อการกำหนดทิศทางการลงทุนในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ทำให้ยังคงต้องติดตามพิจารณาอย่างใกล้ชิดควบคู่ไปกันปัจจัยอีกหลายอย่าง เพื่อจะได้ปรับพอร์ตการลงทุนได้อย่างทันท่วงทีครับ ..
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
XM
OANDA
FXTM
EC Markets
IC Markets Global
STARTRADER
XM
OANDA
FXTM
EC Markets
IC Markets Global
STARTRADER
XM
OANDA
FXTM
EC Markets
IC Markets Global
STARTRADER
XM
OANDA
FXTM
EC Markets
IC Markets Global
STARTRADER